คำสอนใจ

คำสอนใจ

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

บทเพลงกับธรรมะ

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่โง่
             เเต่ถ้าฟังโปเตโต้ ถึงมีรักเเท้เเต่ก็ดูเเลไม่ได้

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ตา ใส่เเจ่ม
             เเต่ถ้าฟังบอดี้เเสลม มักจะโทษว่าความรักทำให้คนตาบอด

+ ฟังธรรมะ เเล้วจะทำให้ไม่เพ้อเจ้อ
             เเต่ถ้าฟัง พีชเมกเกอร์ จะละเมอถึงเเต่เรื่องบนเตียง

 + ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ปากเราติดดิสเบรก
              เเต่ถ้าฟังเบิร์ด-เสก ถึงอมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจเราชอกช้ำ
              เเต่ถ้าฟังไอน้ำ จะชอกช้ำเพราะรักคนมีเจ้าของ

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เหงาหงอย
              เเต่ถ้าฟังเสนาหอย จะเเอบเหงาคนเดียว

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่งมงายในความเชื่อเเละศรัทธา
              เเต่ถ้าฟังทาทา มักจะพูดว่า ไอ บีลีฟๆ

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้รักกันอย่างไม่ต้องนอนละเมอ
              เเต่ถ้าฟังไฮเปอร์ มักจะเจอรักแท้ในคืนหลอกลวง

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจไม่เน่าเสีย
              เเต่ถ้าฟังนัท มีเรีย มักจะโทษว่า รักไม่ช่วยอะไร

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้รักกันจนสิ้นชีวิน
              เเต่ถ้าฟังเอนโดรฟิน เเล้วจะบอกว่า ถ้าเขามาฉันจะไป

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราไม่คุยโม้
              เเต่ถ้าฟังโปเตโต้ จะถูกต่อว่าปากดีนะเรา

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เรามีสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน
              เเต่ถ้าฟังน้องพั้นซ์ เพียงเเค่วางมือบนบ่า น้ำตาก็ไหล่

+ ฟังธรรมะ เเล้วจะทำให้เราเจอคนดีเสมอ
              เเต่ถ ้าฟังไฮเปอร์ มักจะเจอผู้ร้ายคนใหม่

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราเข้าใจกัน
           เเต่ถ้าฟังน้องพั้นซ์ บอกได้คำเดียวว่า ยิ่งกว่าเสียใจ

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เรารักกันยิ่งกว่าชีวิน
              เเต่ถ้าฟังเอนโดรฟิน จะเป็นได้เเค่เพื่อนสนิท

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้จิตใจใสเเจ่ม
              เเต่ถ้าฟังว่าน วงเเพลม จะตัดพ้อต่อว่า ไม่บอกให้รู้สักเรื่องได้ไหม

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เเรด
              เเต่ถ้าฟังบิ๊กเเอส มักจะเล่นของสูง

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่หยิ่งยะโส
             เเต่ถ้าฟังติ๊ก ชีโร่ จะโอหังว่า รักไม่ยอมเปลี่ยนเเปลง

+ ฟัง ธรรมะเเล้วจะทำให้จิตใจเปล่งปลั่ง
              เเต่ถ้าฟังอาหรั่งจะคุ้มคลั่งว่า ทำบ้า....ทำบ้าอะไร

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ดีที่ใจมิใช่เพียงเเค่หน้าตา
             เเต่ถ้าฟังปนัดดา ก็จะรู้เพียงว่า ขอเป็นคนเลวที่รักเธอ

+ ฟัง ธรรมะเเล้วจะทำให้ใจไม่สั่นคลอน
              เเต่ถ้าฟังสุนทราภรณ์ เเล้วเธอจะรู้สึก!!

+ ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เปลืองเเรง
              เเต่ถ้าฟังพรศักดิ์ ส่องเเสง จะเปลืองเเรง เพราะมีเมียเด็กต้องหมั่นตรวจเช็คร่างกาย

+ ฟัง ธรรมะเเล้วจะทำให้สอบผ่านทุกๆ ปี
              เเต่ถ้าฟังเเอน สุชาวดี มักจะติดร.วิชาลืม




ที่มา : classifiedthai.com

น่าเสียดาย โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป

น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง

น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา

น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา

น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง “การลอกเลียนแบบ” เป็นที่สุด

น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด

น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊

น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า

น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล

น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก

น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน

บทความดีดีสำหรับคนมีความทุกข์

คุณเคยรู้สึกไหม ว่าชีวิตช่างลำบาก
คุณไม่อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างที่เป็นอยู่ 
คุณรู้สึกว่า ชีวิตนั้นเป็นทุกข์ 
อาชีพการงานไม่ได้ดั่งใจ อะไร ๆ ก็ผิดพลาดไปหมด? 

เรื่องราวต่อไปนี้ อาจจะเปลี่ยนแปลง
“ทัศนคติ” ที่คุณมีต่อชีวิตคุณได้ 

ผมสนทนากับเพื่อนคนหนึ่ง ถึงแม้ว่า เขาจะทำงานสองอย่าง 
รายได้แต่ละเดือนหักลบรายจ่ายแล้วยังเหลือแค่พันกว่า 
แต่เขาก็มีความสุขมากแล้ว 
ผมแปลกใจมากที่เขามีความสุขขนาดนั้น 
เพราะเขามีรายได้น้อย 

ต้องประหยัดมัธยัสถ์จึงจะพอมีเหลือเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่สูงอายุ 
พ่อตาแม่ยาย ภรรยาและลูกสาวอีกสองคน 
ไหนจะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ 
จุกจิกภายในครอบครัว
 

เขาอธิบายให้ฟังว่า
เป็นเพราะหลายปีก่อนเขาได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างที่ประเทศอินเดีย 
ขณะนั้นเขา ประสบปัญหาที่สาหัสมาก 
สภาพจิตใจตกต่ำจึงไปเที่ยวอินเดียเพื่อให้สบายใจขึ้น 
เขาได้เห็นกับตา ผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่ง 
ถือมีดอีโต้ตัดแขนขวาของลูกตัวเอง 
สายตาที่หมดหวังของผู้หญิงคนนั้น 
และเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของเด็กอายุสี่ขวบ 
จนบัดนี้ยังวนเวียนอยู่ในใจเขามิรู้ลืม 
คุณอาจจะถามว่า 
ทำไมแม่คนนั้นจึงต้องทำเช่นนี้ ? 
เป็นเพราะลูกของเธอซุกซนเกินไปหรือเปล่า ? 
หรือเป็นเพราะแขนของเด็กติดเชื้อ ? 

...ไม่ใช่... 


 
ที่แท้ทำไปเพื่อให้เด็กสามารถไปขอทานตามถนน 
แม่ผู้สิ้นหวังคนนั้นจงใจทำให้ 
ลูกตัวเองพิการ เพื่อเขาสามารถออกขอทานตามท้องถนนได้ 

เพื่อนของผมคนนี้ตกใจแทบช๊อก
ขนมปังในมือของเขาที่เพิ่งกินได้ครึ่งก้อนตกหล่นลงพื้น 
ทันทีทันใดก็มีเด็กๆ ห้าหกคนกรูกันเข้ามา 
แย่งชิงขนมปังที่เลอะทรายบนพื้น 
เหมือนกับปฏิกิริยาอัตโนมัติเวลาผจญกับความหิวโหย 
เขาตกใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว 

ไกด์ของเขาขับรถพาเขาไปยังร้านขนมปังที่ใกล้ที่สุด 
เขาเข้าไปในสองร้านของละแวกนั้น ขอซื้อขนมปังทั้งหมดในร้าน 
เจ้าของร้านขนมปังแปลกใจมาก แต่ก็ยินดีขายขนมปังทั้งหมดให้เขา 
เขาใช้เงินทั้งหมดไม่ถึงหนึ่งร้อยเหรียญ 
ซื้อขนมปังมาประมาณสี่ร้อยกว่าก้อน 
(ตกก้อนละไม่ถึง 25 เซน) 

แล้วใช้อีกหนึ่งร้อยเหรียญซื้อของใช้ประจำวัน 
และแล้ว เขาก็นั่งบนรถบรรทุกที่บรรทุกขนมปังไว้เต็มคันรถ 
ขับไปบนถนน ขณะที่เขาแจกจ่ายขนมปังและของใช้ประจำวันให้กับเด็ก ๆ 
ซึ่งพิการเป็นส่วนใหญ่นั้น 
พวกเขาล้วนโค้งคำนับให้ด้วยความดีใจ นั่นเอง 
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาคิดได้ว่า 
ทำไมคนเราจึงสามารถละทิ้งศักดิ์ศรีของตนเองเพียงเพื่อชิ้นขนมปัง 
ราคาไม่ถึง 25เซน 

เขาเริ่มบอกตนเองว่าตนเองนั้นโชคดีแค่ไหน
เขามีร่างกายครบสามสิบสอง 
มีอาชีพการงาน มีครอบครัว 
มีโอกาสบ่นว่าอาหารชิ้นไหนดี อาหารชิ้นไหนไม่อร่อย 
มีโอกาสสวมใส่เสื้อผ้า 
มีโอกาสครอบครองสิ่งของมากมายที่คนเหล่านี้ไม่มี 

ตอนนี้ ผมเริ่มคิดได้และตระหนักได้ว่า 
ชีวิตของผมมันย่ำแย่จริงหรือ ? 
บางทีมันอาจไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้นก็ได้ คุณละ ? 
บางทีเมื่อครั้งหน้าคุณรู้สึกว่า ชีวิตของตนกำลังย่ำแย่ 
ลองคิดถึงเด็กคนที่ต้องเสียแขนเพื่อเป็น ขอทานคนนั้นดูสิ ! 

“ความรู้สึกพอ”
 


ไม่ใช่มาจากการเติมเต็มสิ่งที่คุณต้องการ 
แต่มาจากการตระหนักว่า คุณมีมากมายและเพียงพอ 

เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูอีกบานหนึ่งก็จะเปิดออก
แต่บ่อยครั้งเรามัวแต่จ้องบานประตูที่ปิดลงเท่านั้น
ไม่ได้สังเกตเห็นประตูอีกบานหนึ่งที่เปิดออกเพื่อเรา
จริงอยู่ พวกเรามักจะรู้ว่าตนเองมี
ก็ต่อเมื่อเราสูญเสียมัน
แต่พวกเราก็ต้องคอยจนกว่าของสิ่งนั้นมาถึง
จึงจะรู้ตัวว่า เราไม่มีมัน

การมอบความรักทั้งหมดให้กับผู้อื่น
มิได้หมายความว่า เราจะได้รับความรักตอบกลับมาอย่างเท่าเทียมกัน
อย่าหวังว่า รักผู้อื่นแล้วผู้อื่นจะรักตอบ
จงสนใจแค่ให้ความรักนั้น เติบโตขึ้นในใจพวกเขา
แต่ถ้าไม่เติบโตขึ้นเลยก็จงพอใจกับความรักที่เติบโตขึ้นในใจของคุณเอง

หนึ่งนาทีจึงจะทำลายคน ๆ หนึ่งได้
หนึ่งชั่วโมงจึงจะชอบคน ๆ หนึ่งได้

หนึ่งวันจึงจะรักคนๆ หนึ่งได้

แต่ต้องใช้เวลาตลอดชั่วชีวิต

จึงจะลืมคน ๆ หนึ่งได้

จงอย่ามองเพียงรูปภายนอก เพราะสักวันมันจะหลอกคุณ
จงอย่ามองแค่ความร่ำรวย ทรัพย์สมบัติ เพราะสักวันมันจะซีดจางลง
หาใครสักคนที่ยิ้มให้คุณ เพราะเมื่อมีรอยยิ้ม
จะทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น
หาใครสักคนที่ทำให้คุณอมยิ้มได้จากใจจริง

บางครั้งเมื่อคุณคิดถึงใครสักคน
ความคิดถึงนั้นอาจถึงขั้นให้คุณคว้าตัวเขาออกมาจากความฝัน 
โอบกอดตัวเขาเอาไว้ ไล่ตามความฝันของคุณเอง 

ไปยังที่ ๆ คุณอยากไป
เป็นอย่างคนที่คุณอยากเป็น
เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว
ซึ่งหมายถึง...มีเพียงโอกาสเดียวในการทำสิ่งที่คุณอยากทำ



จากฟอร์เวิร์ดเมล์...
ขอบคุณที่มาค่ะ :
http://board.palungjit.com/f8/บทความดีดีสำหรับคนมีความทุกข์-209691.html

มารบ่มี บารมีไม่เกิด


                      ภาพจาก  http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/425/2425/images/Buddha4.jpg

มารบ่มี บารมีไม่เกิด

         ชีวิต นี้ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ มีผู้กล่าวไว้ว่า ว่าวมันจะลอยขึ้นสูงได้ เพราะต้านกับลมแรง ถ้าไม่มีลมปะทะว่าวมันก็ขึ้นไม่ได้  ลมเปรียบเหมือน อุปสรรค  ว่าวเปรียบเหมือน  ตัวของเราเอง  เศรษฐกิจแย่ ของแพง อกหัก เป็นเรื่องขอบโลกธรรม คือ มันต้องเจอในชีวิตของมนุษย์ทุกคนเพราะโลกธรรมนี้เป็นสิ่งที่เป็นคู่กับมนุษย อย่างแยกไม่ออก ชีวิตเรานั้นมีสูงกว่า ต่ำกว่า เหนือกว่า  ด้อยกว่า... เราจะไปกลัวอะไรกับคำว่า ..ทำไม่ได้..เราจะไปโทษทำไมถึงดวงชะตาฟ้าลิขิต เราจะเศร้าทำไมกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา อุปสรรคมา  ปัญญาจึงเกิด เมื่อมีอุปสรรคแสดงว่าเราต้องสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อเป็นการไม่ยอมแพ้ต่อสิ่ง ที่เกิดขึ้น ไม่ต้องไปดูดวง ดูหมอทำนายทายทักใดๆ แก้เองปัญหามีไว้แก้ไม่ใช่มีไว้ให้กลุ้ม มันเป็นบททดสอบชีวิตซึ่งใครๆ ก็ต้องหนีไม่พ้น แต่ว่า บททดสอบใครจะยากกว่ากัน  จุดเริ่มต้นของชิวิตไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง พ่อแม่มีแค่ให้ชีวิตเรา สิ่งต่างๆ ต้องสร้างเอง แม้แต่จิตใจเราจะดีจะชั่ว เราก็เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตตน  การทำอะไรก็ตามต้องคิดเสมอ..แล้วชีวิตจะไม่เป็นหมัน

         คนที่สู้ชีวิต คือ คนที่ไม่ยอมรับความล้มเหลว และคิดว่าความล้มเหลว จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต เขาเพียงแค่ยอมรับความล้มเหลวไว้เป็นบทเรียน แล้วนำบทเรียนที่ได้มาปรับแก้ไขให้เป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่า นั้นคือ ก้าวย่างแห่งความสำเร็จ  นิสัยคนไทยมีไม่น้อยที่ เห็นคนอื่นเป็น ก็อยากเป็น เห็นคนอื่นได้  ก็อยากได้บ้าง ลืมแม้กระทั่งหน้าที่ของตนเอง และที่สำคัญ ลืมมองว่าชีวิตตัวเองเป็นอย่างไร มาอย่างไร และจะทำอย่างไรต่อไป

                           
ข้อมูลจาก  http://www.mindcyber.com/home/buddhismday/hisbuddha/44.html

         ข้อคิดของผม   มารเปรียบเสมือนอุปสรรคนานา ที่ทำให้มนุษย์ได้พิสูจน์ตัวเอง

ใบลาออกจากความทุกข์

ไม่สำคัญว่า..
...มีทรัพย์มากหรือน้อย

แต่สิ่งสำคัญคือ...
...ต้องใช้ให้น้อยต่างหาก..
...ชีวิตจึงจะมีเหลือมากกว่าขาด...

คนจนยิ่งจน...เพราะทำรวย...
คนรวยยิ่งรวย...เพราะทำจน..
...ทำตัวให้เป็นปกติ..
...ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น..
...ชีวิตก็จะเป็นปกติ

ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้
ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี
...เป็นคนอาภัพอับโชคที่สุดในโลก

ยินดีในสิ่งที่ตนได้
พอใจในสิ่งที่ตนมี
...เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก

อดทนได้...จงอดทน
อดใจได้....จงอดใจ
...ไม่อดทน ไม่อดใจ
...เรื่องเล็กจักกลายเป็นเรื่องใหญ่

คนที่มีความสุข
มิใช่คนที่มีมากที่สุด
...แต่เป็นคนที่ต้องการน้อยที่สุด
...ยิ่งมีความต้องการน้อยลง
...สมบัติที่มีอยู่เดิม
...ก็ดูเหมือนมีมากขึ้น...

ความสุขหรือความทุกข์ของชีวิต
บางครั้งเหมือนการมองผ่านกระจก
...หากกระจกใสสะอาด
...เมื่อมองสิ่งใดย่อมมีแต่ความสุข
...ปราศจากความขุ่นมัว
...หากกระจกขุ่นมัว
เมื่อมองสิ่งใด...
แม้เป็นสิ่งเดียวกัน..
ก็มีแต่ความทุกข์ใจ
จงจำไว้ว่า..
...ความสุขอยู่ไม่ไกล
...เพียงเช็ดกระจกให้ใส
...เช็ดใจให้สะอาดเท่านั้นเอง..

ทุกข์อยู่ที่ใจ...
...ทุกข์ของใครก็ของมัน..
ทุกข์อยู่ที่ใจ...
...ใครจะเก็บไว้ก็ช่างมัน...
สุขอยู่ที่ใจ...
...ฉันเก็บมันไว้ทุกวัน..
สุขอยู่ที่ใจ...
...ฉันจะให้กันและกัน...



ขอบคุณข้อมูลจากธรรมะไทย

เมื่อสุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป โดยท่าน ว. วชิรเมธี

เมื่อ คุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”

ใน โลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด   แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” (มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง) เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”

เลือก ทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ

เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า
พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเอง
เพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย



ขอบคุณที่มาค่ะ : http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8950455/Y8950455.html

ทำอย่างไรเมื่อถูกคนอื่นด่า ข้อคิดดีๆๆนะ

ในชีวิตประจำวัน เรามักจะถูกคนด่าว่า หรือนินทาให้เสียหาย ทั้ง ๆ ที่บางทีเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด บางท่านทนไม่ได้ก็อาจด่าตอบ หรือนินทาตอบเพื่อให้หายแค้น บางท่านก็ทำใจได้ ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย ก็ดีไปอีกอย่าง

มีพระสูตรหนึ่งชื่อว่า “อักโกสกสูตร“ น่าจะนำมาใช้กับชีวืตประจำวันเราได้ไม่มากก็น้อย เรื่องมีอยู่ว่า… มีพราหมณ์คนหนึ่งไม่รู้ว่าโกรธแค้นพระพุทธเจ้ามาแต่ปางไหน พบพระพุทธองค์ก็เข้าไปด่า ในพระสูตรนั้นไม่ได้บอกว่าด่าว่าอะไร แต่บอกว่า “อสพุภาหิ ผรุสาหิ วาจาหิ อกุโกสติ ปริภาติ” แปลว่า บริภาษด้วยวาจาหยาบคาย มิใช่วาจาของสุภาพบุรุษ

เมื่อพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้าจนพอใจแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า “ที่บ้านพราหมณ์มีผู้มาเยี่ยมบ้างไหม?” พราหมณ์ตอบว่า “มีสิ ข้าพเจ้าไม่ใช่คนไร้ญาติขาดมิตร” พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “เวลามีญาติมาเยี่ยมพราหมณ์เอาอะไรต้อนรับ“ พราหมณ์ก็ตอบว่า

“ก็เอาน้ำ ของขบเคี้ยวของกินมาต้อนรับ”

“เมื่อแขกมาที่บ้านท่าน ไม่กินไม่ดื่มของต้อนรับเหล่านั้น ของเหล่านั้นจะเป็นของใคร”

พระพุทธองค์ทรงตรัสถาม “ก็ตกเป็นของข้าพเจ้าซิ” พราหมณ์ตอบ

พระ พุทธองค์ตรัสต่อว่า “เช่นเดียวกันนั่นแหละพราหมณ์ ท่านด่าเรา เราไม่รับคำด่านั้น คำด่านั้นก็ตกเป็นของท่าน” พราหมณ์ได้ยินดังนี้ถึงกับนิ่งเงียบเลย พระพุทธองค์จึงตรัสสอนต่อว่า

“ผู้ ใดโกรธตอบคนที่ด่า ผู้นั้นเลวกว่าคนด่าเสียอีก คนที่ไม่โกรธตอบคนที่ด่า นับว่าชนะสงครามที่ชนะได้แสนยาก คนที่มีสติยับยั้งชั่งใจ ไม่โกรธเวลาเขาด่า นับว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่น แต่คนที่ทำได้เช่นนี้ คนไม่ถึงธรรมมักจะกล่าวว่า เป็นคนโง่”

พราหมณ์เมื่อได้ฟังดังนี้ สำนึกในความผิดของตน ว่า ตนไม่สมควรด่าคนที่ไม่ควรด่าอย่างยิ่ง จึงปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัย ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา หลังจากบวชได้ไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์


ที่มา : ธรรมะนอกธรรมมาสก์ โดย เสถียรพงษ์ วรรณปก

เทคนิคมองโลกในแง่ดี

คนไทยสมัยนี้เครียดกันง่ายจัง วันๆ หนึ่งต้องพบกับความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ กังวลใจ กันหลายๆ ครั้ง ไม่เหมือนกับคนไทยสมัยโบราณที่กว่าจะเกิดความเครียดขึ้นมาได้ โน่น..ต้องมีเสือบุกเข้ามากินวัว โจรบุกเข้ามาปล้น ถึงจะเกิดความเครียดกันทีหนึ่ง เรียกว่าวันๆ หนึ่งแทบจะไม่รู้จักความเครียดกันเลย ใบหน้าคนไทยสมัยก่อนจึงมีแต่รอยยิ้ม พวกฝรั่งซึ่งเป็นคนมาจากวัฒนธรรมอื่นมาเห็นเข้าพากันแปลกใจว่าทำไมคนไทย อารมณ์ดีกันจัง ก็เลยตั้งชื่อว่าให้ว่า "สยามเมืองยิ้ม"
นอก จากนี้คนไทยยังมีวิธีคิดที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา ให้รู้จักคิดปล่อยวาง คิดให้สบายใจ ในยามที่ต้องพบกับปัญหาหนักๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือร่องรอยวิธีคิดเหล่านี้อยู่ในนิสัยคนไทยทั่วๆ ไปบ้าง แต่บางคนก็ลืมไปแล้ว หรือคนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก วันนี้เครือข่ายฯจึงขอนำวิธีคิดเหล่านี้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้มีความเป็นพุทธ และ ให้มีความทันสมัย เหมาะกับคนยุคปัจจุบันมากขึ้น นำเสนอเป็นเทคนิควิธีคิดมองโลกในแง่ดีสำหรับคนยุคไอที ดังต่อไปนี้

ยามพบอุปสรรคในการทำงาน

ไม่เป็นไร..เอาใหม่ : คำพูดนี้สำคัญมากครับ เอาไว้ใช้อุทาน เวลาท่านต้องประสบกับปัญหาความล้มเหลวในการทำงานหรือ เจอข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน หรือ เวลาเพื่อนร่วมงานทำงานผิดพลาด คำพูดนี้จะเป็นเครื่องปลอบใจและให้กำลังใจได้เป็นอย่างดี คำว่า "ไม่เป็นไร" เป็นคำที่ทำให้จิตใจปล่อยวางจากปัญหา ไม่ถูกบีบคั้นจากปัญหา คำว่า "เอาใหม่" เป็น คำพูดที่ปลุกคุณธรรมข้อ "วิริยะ" แปลว่า เพียรสู้งาน ปลุกใจให้เราคิดสู้ปัญหา ไม่ท้อถอย

ยามพบกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่พึงปรารถนา

โชคดีนะเนี่ย : ไม่ว่าคุณเจอะเจอกับความทุกข์กายทุกข์ใจอะไรในชีวิตประจำวัน ให้คิดเสียว่าสิ่งเลวร้ายที่เราต้องประสบทุกๆ ครั้ง มันไม่ได้ร้ายกาจจนถึงที่สุดแม้สักอย่างเดียว มันเป็นความ"โชคดี"ของเราจริงๆ ที่ไม่เจอหนักกว่านี้
ยกตัวอย่าง
เดินหัวชนเสาหัวปูด อุทานว่า "อูย ! ..โชคดีนะเรา หัวยังไม่แตก"
โดนตัดเงินเดือน พูดกับตัวเองว่า "เขาไม่ไล่เราออก ก็บุญแล้ว ถือว่ายังโชคดีนะเนี่ย"
ทำกาแฟร้อนๆ หกรดขากางเกง พูดกับตัวเองว่า "เหอ..ๆ โชคดี ที่มันไม่หกรดเป้ากางเกงเรา"

ยามมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เขายังดีนะ : เวลาคุณมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ เช่นเพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน ฯลฯ เช่น บางคนอาจจะทำงานไม่ถูกใจ บางคนอาจจะทำอะไรผิดใจคุณ หรือ บางคนอาจจะมีเจตนาไม่ดีกับคุณ ให้คิดเช่นเดียวกันว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันก็ยัง ไม่ได้ร้ายกาจถึงที่สุดกับคุณแต่อย่างใด มันยังมีแง่ดีๆ ให้เราคิดถึงเขาอยู่เสมอ
ยกตัวอย่าง
คนข้างบ้านนินทาเรา เราก็บอกกับตัวเองว่า โอ้... นี่เขายังดีนะที่ไม่ถึงกับมาดักทำร้ายเรา
มีคนมาขโมยปากกาที่โต๊ะทำงานเราไป เราก็คิดว่า เจ้าขโมยนี่ยังดี ที่ไม่ยกเครื่องคอมพ์เราไป
สาวหักอก เราก็คิดว่า เธอยังดีนะเนี่ย ที่ไม่ควงคู่แข่งมาเย้ยเราให้เจ็บใจหนักไปกว่านี้
เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เราก็คิดว่า เขาก็ยังดีที่ไม่ใส่ร้ายป้ายสีเราข้างหลัง

เทคนิคคิดเมื่อเจอปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

เอ๊ะ...! ตรงนี้เราได้อะไร : เป็นการตั้งคำถามเพื่อให้จิตตั้งแง่คิดเพื่อมุ่งหาความรู้ทันทีที่ได้พบกับ ปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น นาย ก. เดินตกท่อ ขาแข้งถลอก นาย ก. ทั้งๆ ที่เจ็บปวด กลับตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่า เราเดินตกท่อตรงนี้ เราได้อะไร ! เท่านั้นเองคำตอบต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมามากมาย อาทิเช่น
ก. เราได้ดูแลรักษาตัวเองอีกแล้วดีจัง ไม่ได้ดูแลตัวเองมานาน
ข. เราได้บทเรียนซาบซึ้งกับคำว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"
(เคยเดินมาดีๆ ทุกวัน วันนี้ใครกันดันมาเปิดฝาท่อ)
ค. มันทำให้เราได้ไอเดียเกี่ยวการทาแถบสีสะท้อนแสงตรงขอบท่อ เพื่อคนจะได้สังเกตเห็นได้แต่ไกลๆ
วิธี คิดเช่นนี้จะทำให้เรารู้สึกเลยว่า ชีวิตนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย คือ แม้ว่าเราจะพบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักตั้งคำถามเช่นนี้เป็นนิสัย เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ มากมายจนบางครั้งเราอาจจะต้องนึกขอบคุณที่ได้เจอกับปัญหาบ่อยๆ เลยทีเดียว
ยัง มีวิธีคิดมองโลกในแง่ดีอีกมากมายหลายวิธี ซึ่งเครือข่ายชาวพุทธกำลังค้นคว้าหาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เพื่อประยุกต์เป็นวิธีคิดนำมาเสนอท่านโอกาสต่อไป อย่าลืมติดตามตอนที่ ๒ เร็วๆ นี้นะครับ สวัสดี


ที่มา :
http://www.budpage.com/
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1485
http://board.palungjit.com/f14/เทคนิคมองโลกในแง่ดี-184561.html